ตำนานและความหมายของพระแม่ทุรคาปางมหิสาสุรมรรทินี
เทวีทุรคา ปางมหิสาสุรมรรทินี
การศึกษาเรื่องเทพฮินดูจะเป็นอันขาดตกบกพร่องไปอย่างมากถ้าไม่พูดถึงเทพฝ่ายสตรีหรือเทวี มีตำนานมากมายหลากหลายเกี่ยวกับเทพเจ้าฝ่ายหญิง แต่ที่เด่นชัดคือเทวีทุรคา ซึ่งถือกันว่าเป็นปางหนึ่งของพระแม่อุมาหรือปราวตีองค์ชายาของพระศิวะ ตำนานเรื่องทุรคาปราบควายอสูรเป็นสิ่งที่ทำให้เทวีเป็นที่จดจำและเป็นภาพลักษณ์ของพระนางจนได้รับขนานนามว่า "พระแม่มหิสา" หรือ "มหิสาสุรมรรทินี" (Mahishasuramardini)
ที่จริงตำนานเดียวกันนี้มีหลายสำนวนเล่าแตกต่างกันไปในปุราณะฉบับต่างๆ แต่ที่ผูกเรื่องง่ายที่สุดก็คือในเทวีมหาตมยะปุราณะ (Devi Mahatmya Purana) ซึ่งเล่าว่า มหิสาสูร (ควายอสูร) ได้รับพรจากพระพรหมให้เป็นอมตะ จะตายได้ก็ด้วยน้ำมือของเพศหญิงเท่านั้น ดังนั้นจึงเหิมเกริมรังควาญโลกมนุษย์ และก็มุ่งจะบุกสวรรค์ต่อไปอีก มหิสายื่นคำขาดกับพระอินทร์ให้ออกมาต่อสู้ อนิจจาพระอินทร์พ่ายแพ้จนต้องหนีไปพึ่งพระพรหม พระศิวะ และพระวิษณุ เหล่าเทพทั้งหลายจึงรวมตัวกันต่อกรกับมหิสา โดยการเนรมิตพลังและอำนาจรวมกันในภาคของหญิงสาวสวย เทพทั้งหลายได้มอบอาวุธให้แก่นางไปต่อสู้ เช่น อาวุธจากพระศิวะ และ พระวิษณุ สิงโตภูเขาจากท้าวหิมวันต์ ถ้วยสุราจากท้าวกุเวร เมื่อได้รับพรทั้งสิ้นแล้วเทวีก็เปล่งเสียงหัวเราะกึกก้องและเหล่าเทพก็ตะโกนพร้อมรบสนั่นหวั่นไหว
มหิสาได้ยินดังนั้นจึงส่งทหารออกไปสืบว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เมื่อได้ทราบความเกี่ยวกับเทวีซึ่งมีความงดงาม
ยังคงความสาวบริสุทธิ์ เปี่ยมไปด้วยความรัก ความกล้าหาญ มหิสาก็เกิดความต้องการจะเป็นเจ้าของเทวี จึงเดินทางไปพบเทวีในภาคของชายหนุ่มรูปงามและขอแต่งงานกับพระนาง
แต่พระนางกลับกล่าวว่า เธอเกิดมาเพื่อพิทักษ์ความถูกต้อง เขาควรจะรีบหนีไปเสียหรือไม่ก็มาสู้กัน
มหิสาจึงกลับสู่รูปของควายอสูรและต่อสู้กับพระนาง
พระนางเอาชนะมหิสาได้ทรงฉีกอกและตัดหัวมหิสา เสร็จศึกพระนางได้ออกปลีกวิเวกบำเพ็ญบารมี
และครององค์เป็นพรหมจารี
ตำนานนี้บอกถึงอะไรหลายอย่าง ที่สำคัญคือ ความตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับแบบแผนความเป็นหญิงในคำสอนทั่วไปของศาสนาฮินดู ซึ่งสอนว่าธรรมชาติของผู้หญิงย่อมมีความสงบเสงี่ยม ไม่ชอบสงคราม และบทบาทของผู้หญิงขึ้นอยู่กับผู้ชายเป็นสำคัญ ต้องพึ่งพิงผู้ชายในฐานะเป็นภรรยา ลูกสาว หรือแม่
ตามตำนานมหิสาประมาทว่าผู้หญิงไม่แข็งแกร่งพอที่จะสังหารตนได้ และตอนแรกเขาอยากแต่งงานกับเทวี เขาสับสนในความมีเสน่ห์น่าหลงใหลของพระนางซึ่งขัดแย้งกับวาจากระหายสงครามที่พระนางเปล่งออกมา มหิสาได้มองเห็นสิ่งเหล่านี้ในองค์เทวี ได้แก่ ความงามทั้งหลาย (rasa) ความเย้ายวนแบบอิตถีเพศ (smgara) แต่ก็มีความกล้าหาญด้วยเช่นกัน (virya)
ก่อนที่จะสู้กับมหิสาพระนางทรงดื่มสุราจากถ้วยของท้าวกุเวร
จากนั้นพระนางก็แสดงออกให้เห็นถึงพลังของเทพีที่มีเหนือเหล่าเทพทั้งหลายที่ล้วนแต่เคยพ่ายแพ้ให้แก่มหิสา
ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงเซ่นสรวงพระนางด้วยเลือดแทนสุรา
เพื่อทำให้พระนางมีพลังพิชิตศัตรู แต่การบูชาแบบนี้ไม่ใช่หลักการของศาสนาฮินดู
เป็นเพียงพิธีกรรมที่เป็นสัญลักษณ์สืบเนื่องมาจากตำนานเท่านั้น
อหิงสาคือหลักคำสอนสำคัญของฮินดู
ซึ่งอาจดูขัดแย้งกับเรื่องความรุนแรงในตำนานและการบูชาเทวีด้วยเลือด
แต่ด้วยนัยเชิงสัญลักษณ์ที่ว่าเทวีคือตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ ในขณะที่เลือดคือพลังของชีวิต
ดังนั้นการสังเวยเลือดให้เทวีก็เสมือนการเติมพลังชีวิตและคืนความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ธรรมชาตินั่นเอง
อีกความหมายหนึ่งในการใช้สัตว์สังเวยก็เพื่อให้สัตว์เป็นตัวแทนของมารหรือความชั่วร้าย
เช่น แทนอสูรในตำนาน พิธีกรรมการสังเวยด้วยเลือดและสัตว์นี้ก็มักพบในหมู่ชนวรรณะต่ำ
แต่ไม่พบในชุมชนของพราหมณ์และชนวรรณะสูง
อีกด้านหนึ่งตำนานมหิสาแสดงถึงความเกื้อกูลกันระหว่างบุรุษกับสตรี เหล่าเทพทั้งหลายต้องอาศัยภาคของอิสตรีเข้าช่วยต่อกรกับอสูร ในขณะที่เทวีก็ต้องอาศัยบุรุษหรือเหล่าเทพทั้งหลายจึงจะมีพลัง การเกื้อหนุนกันระหว่างชายและหญิงจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะพิจารณาเทียบกับเรื่องพื้น ๆ เช่นในครอบครัวที่สามีภรรยาย่อมต้องปรึกษาหารือกันเพื่อดูแลและแก้ปัญหาต่าง ๆ หากผู้ชายต้องทำสิ่งนี้เพียงลำพังโดยขาดภรรยาที่ดีคอยช่วยเหลือ ชีวิตเขาย่อมพบกับความลำบาก และหากตีความในเชิงปรัชญาธรรม ความเอื้อประสานกันของสองเพศเป็นหนทางเพื่อพบสัจธรรม
จากตำนานมหิสาแสดงว่า มีแต่สตรีเพศเท่านั้นจึงจะสามารถพิชิตบุรุษ (มหิสา)
และนำพาเขาสู่ทางแห่งความชอบธรรมได้
โดยที่สตรีเป็นพลังที่จะช่วยให้บุรุษต่อสู้กับความชั่วร้ายภายในตนเอง
มหิสามีลักษณะเป็นควายอสูร ควายคือสัตว์เดรัจฉานที่เป็นตัวแทนของสิ่งชั่วร้ายหรือสัญชาติญาณดิบของมนุษย์
หากมนุษย์ควบคุมไม่ได้จิตวิญญาณก็ย่อมร้อนรนไม่มีความสงบสุข
การต่อสู้กันของทุรคาเทวีกับมหิสา นอกจากจะเปรียบเสมือนการต่อสู้กันระหว่างความดีและความชั่วในภาพรวมแล้ว
เทวียังหมายถึงปัญญาที่ช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากความมืดบอด (tamas)
ชาวฮินดูผู้นับถือเทวีเชื่อว่า องค์เทวี (mother goddess) คือพลังที่จะช่วยให้มนุษย์พบกับความบริสุทธิ์ และความจริง (sattva) ได้
โดยทั่วไปคำว่าเทวีของชาวฮินดูจะหมายถึงพระแม่ทุรคา แม้ว่าเทวีจะสามารถใช้ได้กับเทพเจ้าฝ่ายหญิงทั้งหลายก็ตาม คำที่ชาวฮินดูมักใช้เรียกเทวีของพวกเขา คือ พระแม่ หรือ มาตา มาตาจิ อัมมา เทวีก็เช่นเดียวกับองค์ศิวะที่มีลักษณะขัดแย้งหรือตรงข้ามอยู่คู่กันภายในพระองค์ กล่าวคือ แม้พระนางจะดูเย้ายวนด้วยพลังอิตถีเพศแต่พระนางก็ปลีกตนไปบำเพ็ญตบะ แม้พระนางจะดูอ่อนหวานแต่ก็กล้าหาญด้วยเช่นกัน และแม้พระนางจะงดงามแต่ก็โหดเหี้ยมในเวลาเดียวกัน ด้วยเหตุนี้พระนางจึงได้ชื่อว่าทุรคาซึ่งแปลว่า "ผู้เข้าถึงได้ยาก"
สำหรับคำสอนในหมู่สาวกแห่งเทวีถือว่าพระนางเป็นสัจภาวะเช่นกัน ความรู้เกี่ยวกับองค์เทวีคือความรู้เพื่อหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดเช่นเดียวกับความรู้ในพรหมัน แต่ในขณะเดียวกันความเชื่อในพระนางก็เป็นเหมือนกับดักล่อหรือมายาภาพที่มัดเราไว้ให้ห่างไกลจากความจริงแท้ด้วยเช่นกัน พระนางจึงเป็นได้ทั้งมายาและความจริง พระนางสถิตอยู่ในหลายฐานะและรูปลักษณ์ ทั้งในสภาวะของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ในรูปของมนุษย์ผู้หญิงไม่ว่าจะเป็นบทบาทของมารดา ภรรยา หญิงชรา หรือหญิงสาวแรกรุ่นก็ตาม แต่ภาพลักษณ์หลักที่ผู้คนจดจำได้ดีได้แก่ ปางพระแม่ทุรคาผู้สังหารมหิสาสูร ซึ่งแสดงออกโดยการนั่งอยู่บนหลังสิงโต มีสิบกรถืออาวุธครบมือ อยู่ในท่าใช้สามง่ามฉีกอกมหิสา หรือปางพระแม่กาลี ซึ่งแสดงออกด้วยภาพของความดุร้าย น่ากลัว ทั้งพระแม่อุมาหรือปราวตี พระแม่กาลี และเทวีทุรคา ได้รับการกล่าวถึงในมหาภารตะว่าอรชุนสวดอ้อนวอนขอพรจากพระนางให้ชนะศึกศัตรู
การนับถือเทวีอย่างสูงมิได้เพิ่งมีขึ้นเมื่อเกิดลัทธิศักติในช่วงหลังยุคอุปนิษัท
แต่ความสำคัญของเทวีมีมาแต่อารยธรรมอินเดียยุคต้นแล้ว ในฤคเวทปรากฏชื่อเทพี
Prithivi (แปลว่าโลก) ถือเป็นมารดาของทุกสรรพสิ่ง
หน้าที่ของเทพสตรีตั้งแต่โบราณได้แทรกอยู่ในทุกขั้นตอนของชีวิตมนุษย์ ลักษณะทางศิลปะของรูปปั้นเทพีแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่หลากหลาย
ที่สำคัญคือการมอบความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง และการสืบเผ่าพันธุ์ ด้วยเหตุนี้เทพีจึงได้รับคำกล่าวขานว่า
ศักติ ซึ่งหมายถึงความสามารถ (Sakti = to be able or power of act) พระนางเป็นสัญลักษณ์ของพลังสูงสุดที่เผยออกมาสู่โลก
ถ้าปราศจากเทวีเสียแล้ว พลังแห่งบุรุษเพศยิ่งใหญ่เพียงใดก็ไม่สามารถให้การกำเนิดได้
ด้วยเหตุนี้เทวีจึงมีความยิ่งใหญ่มาก
ปัจจุบันอินเดียมีงานบูชาเทวีอย่างยิ่งใหญ่เรียกว่าเทศกาลนวราตรี (Nava-Ratri) จัดขึ้นเป็นเวลา ๑๐ วัน หรือ ๙ คืน เพื่อบูชาพระแม่ทุรคาและเทวีอีกทั้งหมด ๙ ปาง ซึ่งล้วนแต่เป็นภาคหนึ่งของพระแม่ปราวตี (the life phase of goddess pravati)
(หมายเหตุ : นามของเทวีทั้ง ๙ จะแตกต่างไปในแต่ละท้องถิ่น)
![]() |
ประติมากรรมพระแม่ทุรคา หรือมหิสาสุรมรรทินี หน้าปราสาทเขาน้อยสีชมพู |
สำหรับพื้นที่ของประเทศไทยนั้น ได้รับเอาความเชื่อและการนับถือเทวีของอินเดียมาตั้งแต่ยุคขอมเรืองอำนาจ ดังได้พบประติมากรรมรูปพระแม่ทุรคาที่ปราสาทขอมลัทธิไศวนิกายบางแห่ง เช่นที่ ปราสาทเขาน้อยสีชมพู จังหวัดสระแก้ว ได้พบรูปเคารพลอยตัวเต็มองค์ของ "พระแม่มหิสาสุรมรรทินี" สี่กร ปางประทานพร ประทับยืนเหนือหัวควายอสูร (ของดั้งเดิมสูญหายไป ปัจจุบันได้ทำจำลองไว้ที่หน้าปราสาท) และความเชื่อนี้ก็ยังคงถ่ายทอดมาถึงผู้คนในทุกวันนี้ ผสมผสานกับความเป็นโลกาภิวัฒน์ ทำให้พิธีกรรมแบบอินเดียนำเข้า ส่งตรงมาสู่เมืองไทยได้ไม่ยาก จึงไม่แปลกที่จะเห็นพิธีบูชาพระแม่มหิสาสุรมรรทินีแบบอินเดียแท้ๆ ในเมืองไทยและมีคนไทยเข้าร่วมพิธีด้วยอย่างมากมายทุกปี
บทความโดย ดร.กฤติยา วโรดม สงวนลิขสิทธิ์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น