ศาสนาในอาณาจักรเขมรโบราณ

เขมรโบราณนับถือทั้งศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธควบคู่กัน

              
              ในราชอาณาจักรมหิธรปุระรวมถึงในอาณาจักรเขมรทั่วไป แต่เดิมนับถือไศวนิกายเป็นหลัก (นับถือพระศิวะหรือมักจะเรียกกันว่า พระอิศวร เป็นใหญ่กว่าเทพองค์อื่น) แต่ก็นับถือเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ครบทั้ง ๓ ด้วย ได้แก่ พระศิวะ พระวิษณุ และพระพรหม ส่วนศาสนาพุทธก็มีอยู่เช่นกัน เป็นพุทธแบบมหายาน แต่ก็ไม่แพร่หลายนักเมื่อเทียบกับพราหมณ์-ฮินดู 

ปราสาทพนมรุ้งเป็นเทวสถานสร้างบนปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้ว
๑. ปราสาทพนมรุ้งเป็นเทวสถานของไศวนิกาย มองเห็นศิวลึงก์ประดิษฐานในครรภคฤหะ มีท่อโสมสูตรรับน้ำมนต์มาจากภายใน


ปราสาทพนมรุ้ง ไศวนิกาย
๒. ศิวลึงก์ในครรภคฤหะ ปราสาทพนมรุ้ง

ศาสนาพุทธคงเข้ามาสู่เขมรทั้งจากอินเดียโดยตรงที่เดินทางเข้ามาเผยแผ่ศาสนาและค้าขาย และผ่านทางอาณาจักรทวาราวดีที่ตั้งอยู่ทางภาคกลางของประเทศไทย มีหลักฐานว่าพระเจ้ายโศวรมัน (พ.ศ. ๑๔๓๒-๑๔๕๕) ผู้สถาปนาเมืองพระนคร เคยทรงสร้างวัดทางพระพุทธศาสนาด้วย แต่ว่าศาสนาพุทธก็ได้เสื่อมลง นักโบราณคดีพบจารึกว่าด้วยการบูรณะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาขึ้นใหม่ในพศต.ที่ ๑๖ ซึ่งก็ตรงกับช่วงของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ เช่น 
  • ในจารึกศาลสูงหลักที่ ๑ จังหวัดลพบุรี ระบุถึงพระราชโองการของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ให้ดาบส ภิกษุในพุทธศาสนามหายานและเถรวาท ถวายตบะแก่พระองค์   
  • ศิลาจารึกพบที่ปราสาทหินพิมายระบุศักราช พ.ศ.๑๕๗๙ และ ๑๕๘๙ มีข้อความสรรเสริญพระพุทธเจ้าและพระราชานาม “ศรีสุรยะวรมะ” ผู้ทรงนับถือพุทธศาสนา ซึ่งคาดกันว่าหมายถึงพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑  คงเพราะเหตุนี้ บางกระแสจึงว่าพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ทรงนับถือพุทธ เพราะพระนามของพระองค์หลังสวรรคตคือ นิวาณบท แต่ก็อาจไม่ใช่ เพราะคำว่า นิรวาณ มีใช้ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมาตั้งแต่โบราณกาล หมายถึงเป้าหมายสูงสุดเช่นกัน 
  • ส่วนอีกหลักฐานหนึ่ง คือ ที่กรอบประตูระเบียงคดด้านทิศใต้ของปราสาทพิมายระบุศักราช พ.ศ.๑๖๕๑-๑๖๕๕ (ตรงกับสมัยพระเจ้าธรณินทรวรมันที่ ๑ แห่งราชวงศ์มหิธรปุระ) กล่าวถึงการสถาปนารูปเคารพในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน จึงเป็นที่ชัดเจนว่าปราสาทพิมายเป็นพุทธสถาน แสดงถึงศาสนาพุทธมีอยู่ในอาณาจักรเขมรโบราณควบคู่กันกับศาสนาพราหมณ์

ศาสนาพุทธกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีแนวคิดและปรัชญาที่ไปด้วยกันได้ โดยเฉพาะในขั้นพื้นฐาน จึงทำให้ความเชื่อและหลักธรรมคำสอนของทั้งสองศาสนามีบทบาทร่วมกันในระดับราชวงศ์ได้ ดังนั้นการที่กษัตริย์เขมรจะนับถือทั้งพุทธและพราหมณ์ หรือนับถือศาสนาหนึ่งและให้การอุปถัมภ์อีกศาสนาหนึ่งด้วย เช่นเดียวกับกษัตริย์ในอินเดียโบราณหลายพระองค์และกษัตริย์ไทยด้วยก็ทรงดำเนินเช่นนี้ (ยกเว้นว่ากษัตริย์นั้นจะเป็นมิจฉาทิฎฐิ ทำลายศาสนาอื่น ซึ่งไม่เคยมีปรากฏว่ากษัตริย์พุทธมามกะกระทำเช่นนั้น) ดังนั้น หากพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ จะทรงเคารพในองค์ศิวะเทพ ผู้เป็นใหญ่สูงสุดของชนเขมรในเวลานั้น ทรงสร้างปราสาทเขาพระวิหารบูชาพระศิวะเจ้า พร้อมกับสร้างปราสาทหินพิมายถวายพระพุทธเจ้า ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก และปราสาทหินพิมายนี้ ก็มีภาพสลักทั้งส่วนที่บูชาพระพุทธเจ้าและภาพสลักบูชาเทพเจ้าพรามหณ์-ฮินดูอยู่ด้วย

การจะดูว่าศาสนสถานใดเป็นของศาสนาใด ให้ดูที่ครรภคฤหะอันเป็นห้องในสุด สำคัญที่สุด เสมือนอุทรที่อยู่ของดวงวิญญาณแห่งสถานที่นั้น หากสิ่งที่ประดิษฐานในครรภคฤหะเป็นพระพุทธรูป ก็หมายถึงสถานที่นั้นเป็นพุทธสถาน แต่หากประดิษฐานศิวลึงก์หรือภาพเทพเจ้า ก็หมายถึงเป็นศาสนสถานของพราหมณ์ ในขณะที่พื้นที่ส่วนอื่นๆ ของศาสนสถานนั้น โดยเฉพาะพุทธสถาน สามารถพบภาพสลักเทพเจ้าในศาสนาอื่นอยู่ด้วย เช่นที่ปราสาทหินพิมาย มีภาพสลักเรื่องรามยณะอยู่ที่ชั้นนอก ส่วนชั้นในที่ติดกับครรภคฤหะเป็นภาพสลักพุทธประวัติ เพราะเรื่องราวของรามยณะ หรือความเชื่อในเทพเจ้าพราหมณ์นั้น ปะปนกับความเชื่อพื้นถิ่น กลายเป็นความเชื่อของคนในท้องที่นั้น กลมกลืนจนไม่แบ่งแยกว่าเป็นเรื่องของศาสนาหรือตำนานความเชื่อ

๓. ภาพสลักพุทธประวัติด้านทิศใต้ ปราสาทพิมาย (ขยายจากภาพด้านล่าง)

๔. ภาพพุทธประวัติด้านทิศตะวันตก ปราสาทพิมาย

สิ่งที่ประดิษฐานในครรภคฤหะบ่งบอกว่าเป็นศาสนสถานของศาสนาใด
๕. ครรภคฤหะในปราสาทหินพิมาย ประดิษฐานพระพุทธรูปนาคปรก แสดงว่าเป็นพุทธสถาน  หน้าบันด้านบนเป็นภาพพุทธประวัติ ขยายในภาพที่ ๓ (รูปครั้งผู้เขียนฟังบรรยายจาก ศ.ดร.มรว.สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์)


             ปราสาทหินพิมายสร้างขึ้นราวปลายพศต. ๑๖ และคงได้เป็นศาสนสถานสำคัญที่ราชวงศ์มหิธรปุระให้ความอุปถัมภ์มาแต่เดิม ดังจะเห็นได้จาก พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (พ.ศ.๑๗๒๔-๑๗๖๑) ที่ทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ของมหิธรปุระ เมื่อทรงพระราชอำนาจเหนืออาณาจักรทั้งหมดแล้ว ได้ทรงบูรณะปราสาทหินพิมายและสร้างธรรมศาลาพร้อมทั้งอโรคยาศาลา ตามเส้นทางจากเมืองพระนครมายังพิมายถึง ๑๗ แห่ง (โปรดติดตามเรื่องพระเจ้าชัยวรมัน : ศาสตร์เร้นลับในการสร้างเมืองพระนคร)

มหาราชอีกพระองค์หนึ่งของราชวงศ์มหิธรปุระ คือ พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ชัดเจนว่า ทรงเป็นเทวราชา ในฐานะอณูหรืออวตารแห่งวิษณุเทพ ทรงสร้างนครวัด ถวายแด่พระวิษณุ นักวิชาการวิเคราะห์ว่าคงเป็นช่วงเวลาที่แนวคิดปรัชญาทางอินเดียเริ่มเปลี่ยน ลัทธิไวษณพนิกายเฟื่องฟู การนับถือพระวิษณุและอวตารของพระองค์มีมากขึ้น เป็นใหญ่ขึ้น แนวคิดนี้น่าจะได้มาสู่เขมรในเวลานั้น

การจะดูว่ากษัตริย์เขมรองค์ใดนับถือศาสนา นิกายใด เป็นสำคัญ ให้ดูจากพระนามเมื่อสวรรคตแล้ว เช่น พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เป็น มหาบรมเสาคต (ผู้เป็นไปตามพระสุคต-พุทธ), พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ (พ.ศ. ๑๖๕๖-๑๖๙๓) เป็น บรมวิษณุโลก (ไวษณพ). พระเจ้าหรรษวรมันที่ ๓ (พ.ศ.๑๖๐๙-๑๖๒๓) เป็น ศทาศิวบท (ไศวะ),  พระเจ้าชัยวรมันที่ ๕ (พ.ศ.๑๕๑๑-๑๕๔๔) เป็น พระบาทบรมวีรโลก (ไศวะ), พระเจ้าชัยวรมันที่ ๔ (พ.ศ.๑๔๗๑-๑๔๘๔) เป็น พระบรมศิวบท (ไศวะ) เป็นต้น

ทำไมกษัตริย์จึงต้องเป็นเทวราชา?
ปราสาทหินพิมายเป็นพุทธสถาน
ผู้เชียนถ่ายภาพที่ปราสาทหินพิมาย ปราสาทขอมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย



ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สุริยวรรมัน : เรื่องจริงเป็นอย่างไร

ถอดความนัยจากนิยายสู่ประวัติศาสตร์ "สุริยวรรมัน"

พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ : เคล็ดวิชาสร้างอาณาจักรเขมร (๑)

มหิธรปุระ

อินเดียที่หนึ่งในดวงใจ