พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ : เคล็ดวิชาเพื่อความยิ่งใหญ่ของเมืองพระนคร (๓)

สองตอนที่แล้วได้เล่าถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ( พ.ศ.๑๗๒๔-๑๗๖๒) ทรงกอบกู้อาณาจักรจากการยึดครองของจาม และสถาปนาเมืองพระนครที่ทรุดโทรมขึ้นใหม่ ด้วยเคล็ดวิชาที่ซับซ้อน ทรงใช้ทั้งคติของพราหมณ์และพุทธ เพื่อหวังให้อาณาจักรของพระองค์อยู่ยืนยง ศาสตร์เร้นลับที่ว่านี้ แม้ในภายหลังจะถูกพระเจ้าชัยวรมันที่ ๘ ทำลายลง แต่พระนามของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ก็ยังอยู่ยงเป็นอมตะอย่างแท้จริง จึงอดคิดไม่ได้ว่า หากเคล็ดวิชาเหล่านั้นมิได้ถูกลบล้างไป ไม่แน่ว่าประวัติศาสตร์อาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากที่เรารู้จักกัน

สถานที่สำคัญที่ได้กล่าวถึงไว้ในตอนก่อนหน้าได้แก่ ปราสาทพระขรรค์ ปราสาทตาพรหม เกาะราชัยศรี และสระอโนดาต  ตอนนี้จะนำเสนอเรื่องของปราสาทบายนศูนย์กลางของอาณาจักร และพระชัยพุทธมหานาถ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง ตลอดจนถึงการลบล้างเคล็ดวิชาที่เกิดขึ้นในสมัยต่อมา

๔)   ปราสาทบายน

พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงสร้างปราสาทบายนให้เป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของเมืองพระนคร (ก่อนหน้านี้จุดศูนย์กลางของ เมืองพระนคร คือ ปราสาทพนมบาเค็งซึ่งสร้างในสมัยพระเจ้ายโศวรมันที่ ๑ และปราสาทนครวัดสร้างในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒) 

กลุ่มปราสาทบายน แห่งนครธม เมืองพระนครในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗


            ตัวปราสาทบายนไม่มีกำแพงล้อมรอบเหมือนกำแพงแก้วของวัด แต่ตั้งอยู่โดดๆ กลางใจเมืองที่มีกำแพงเมืองล้อมรอบเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสยาวด้านละ ๓ กิโลเมตร และมีคูน้ำกว้าง ๑๐๐ เมตร ล้อมรอบอีกชั้นหนึ่ง ดังนั้นจึงเท่ากับว่าพื้นที่ทั้งหมดภายในกำแพงเมืองราว ๙ ตารางกิโลเมตรนี้ เป็นมณฑลอันศักดิ์สิทธิ์ไปในตัว
จารึกพบที่ปราสาทจรุง อันเป็นปราสาทเล็กๆ สร้างไว้ที่มุมกำแพงเมืองแต่ละมุม ระบุว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงสร้างชัยคีรี (ภูเขาแห่งชัยชนะ) เสียดยอดฟ้าที่ส่องแสงสว่าง และขัยสินธุ (มหาสมุทรแห่งชัยชนะ) ด้วยความลึกอันไม่อาจคณนาได้ 
ชัยคีรี นั้น เปรียบกับ กำแพงเมืองที่เป็นเสมือนทิวเขาที่ล้อมรอบจักรวาล 
            ส่วนชัยสินธุ เปรียบกับ คูน้ำกว้าง ๑๐๐ เมตร รอบกำแพงเมืองแทนมหาสมุทรที่เป็นทางเชื่อมต่อกับพญานาคทั้ง ๘ ตน ที่รองรับโลกอยู่ 
หน้าประตูทางเดินข้ามคูเข้าเมือง มีรูปสลักเทวดาและอสูร (บ้างก็ว่าเป็นเทวดาทั้งสองฝ่าย) กำลังยุดนาคไว้ รูปนาคเปรียบเสมือนศรของพระอินทร์ที่เป็นสายรุ้งเชื่อมระหว่างโลกของมนุษย์และเทวดา หรือหากเชื่อว่าเป็นภาพเทวดากับอสูรกำลังช่วยกันกวนเกษียณสมุทร การเดินเข้าเมืองที่ประตูนี้ก็จะได้รับมงคลจากน้ำอมฤตที่ได้จากการกวนเกษียรสมุทรด้วย เหนือประตูเมืองพระนครใหม่นี้ มีรูปหน้าคน ๔ หน้า หันออกไปคนละทิศ น่าจะหมายถึงท้าวจตุโลกบาล ผู้รักษาทิศทั้ง ๔ ส่วนที่มุมประตูเมืองยังมีภาพสลักนูนสูงพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ

คูน้ำรอบกำแพงเมือง มองเห็นรูปปั้นเทวดาและอสูรนั่งเรียงเป็นแถว
(ภาพจาก https://orientalarchitecture.com)

ประตูเมืองนครธม ด้านทิศใต้ ที่นักท่องเที่ยวใช้เดินข้าสู่ปราสาทบายน

กลุ่มปราสาทบายนจะมีปราสาทหลังกลางลักษณะเป็นห้องล้อมรอบด้วยระเบียงและวิหารอีก ๑๖ หลัง แผนผังรวมเป็นรูปวงกลม คล้ายกับยันต์หรือมณฑลอันศักดิ์สิทธิ์  ปราสาทอื่นๆ ตั้งกระจายออกไปเป็นระเบียบ ปราสาททุกหลังมีหน้าขนาดใหญ่ ๔ หน้าสลักอยู่บนยอด ซึ่งอาจแทนองค์พระโพธิ์สัตว์อวโลกิเตศวรสมันตมุข แต่บ้างก็ว่าเป็นพระพักตร์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เอง เพราะสังเกตจากศิลาภรณ์ที่สวมพระเศียรประดับด้วยลายไม้ เป็นลักษณะของนักรบ  ปราสาทหลังกลางนี้อุทิศถวายเป็นพุทธบูชา จำนวนหน้าทั้งหมดมีถึง ๒๑๖ หน้า 
... อยากให้สังเกตว่า ตัวเลข ๑๖ และ ๒๑๖ เป็นเลขมงคล การผูกมนตราหรือยันต์มักจะใช้จำนวนคำหรือเรื่องเกี่ยวข้องใดๆ นับเป็นจำนวนตรงกับเลข ๑๖

รูปพระพักตร์พระโพธิ์สัตว์ที่ปราสาทบายน



บนยอดปราสาทหลังกลาง ซึ่งเป็นครรภคฤหะ ประดิษฐานพระพุทธรูปนาคปรกขนาดใหญ่ นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่าคือ พระชัยพุทธมหานาถองค์ใหญ่ 
            ส่วนปราสาทที่รายล้อมมีการจารึกชื่อพระพุทธรูปเอาไว้ที่ขอบประตู คาดว่าปราสาทเหล่านี้ใช้ประดิษฐานพระพุทธรูปหรือเทวรูปที่มาจากเจ้านายหรือเชื้อพระวงศ์จากเมืองต่างๆ หรือตระกูลใหญ่  เท่ากับว่า กลุ่มปราสาทบายนนี้เป็นเคล็ดแสดงสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ของราชอาณาจักรขอม ที่มีเแคว้นใหญ่น้อยเป็นบริวารโดยรอบอีกด้วย

๕)   พระชัยพุทธมหานาถ 

พระนามนี้มีความหมายว่า พระผู้เป็นใหญ่ชนะเหนือทุกสิ่ง

จารึกปราสาทพระขรรค์ กล่าวถึง พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงสร้าง พระชัยพุทธมหานาถขึ้น ๒๓ องค์ มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางนาคปรก  ทรงประดิษฐานไว้ที่ปราสาทพระขรรค์ และกระจายไปยังเมืองสำคัญต่างๆ ทั่วอาณาจักร หลายเมืองอยู่ในเขตแดนไทยนี่เอง ได้แก่ ลโว้ทยปุระ สุวรรณปุระ ศัมพูกปัฏกนะ ชัยราชบุรี ศรีชยสิงหบุรี ศรีชยวัชรบุรี ซึ่งหมายถึง เมืองลพบุรี สุพรรณบุรี โกสินารายณ์ ราชบุรี เมืองสิงห์ และ เพชรบุรี 
ที่สำคัญคือ ทรงสร้างพระชัยพุทธมหานาถ องค์ใหญ่สูง ๓.๕ เมตร ประดิษฐานไว้ที่ห้องชั้นในสุดและสูงสุดของปราสาทบายนหลังกลาง เพื่อเป็นพระประธานของอาณาจักร
การที่ทรงสร้างพระชัยพุทธมหานาถนี้ นอกจากจะเป็นการบูชาพระพุทธเจ้าและสถาปนาขึ้นเพื่อปกป้องเมืองแล้ว การส่งไปประดิษฐานยังเมืองต่างๆ ยังแสดงถึงพระราชอำนาจของพระองค์เหนือเมืองนั้นๆ อีกด้วย


พระชัยพุทธมหานาถ หลังจากบูรณะเสร็จใหม่ๆ
ภาพจาก www.researchgate.net/


       ภาพด้านบนเป็นพระชัยพุทธมหานาถองค์ประธานของอาณาจักร ที่ประดิษฐาน ณ ปราสาทบายน เทียบให้เห็นความสูงกับบุคคล ในภาพจะเห็นเป็นรอยต่อมากมาย เกิดจากการบูรณะซากที่ถูกทุบทำลายและนำไปทิ้งไว้ในท่อระบายน้ำใต้ปราสาทนานหลายร้อยปี  หลังจากบูรณะแล้วได้นำมาประดิษฐานไว้ที่วัดพรัมไปลอเวง (Vat Prampei Loveng) ที่อยู่ใกล้กับฐานพลับพลารูป “กากบาท” (+) ที่รู้จักกันในชื่อของ  “ระเบียงช้าง” (Terrace of Elephants)


วัดพรัมไปลอเวง ที่ประดิษฐานพระชัยพุทธมหานาถหลังบูรณะแล้ว

๓)   พระสุคตวิมาย 

            จารึกปราสาทพระขรรค์ ระบุว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงให้ส่งพระสุคตวิมายะ ไปยังเมืองพิมาย
            วรณัย พงศาชยากร วิเคราะห์ไว้ว่า พระสุคตวิมายะ มีรูปลักษณ์เป็นพระพุทธรูปนาคปรก แบบพระเศียรไม่มีอุษณีษะ ซึ่งก็คือรูปแทนพระเจ้าชัยวรมันในภาคของพระพุทธเจ้า หรือพระโพธิสัตว์ แต่ทว่า พระองค์ยังมิอาจเอื้อมเทียบเท่าโดยการทำอุษณีษะ อันเป็นมหาปุริสลักษณะมีเฉพาะพระพุทธองค์เท่านั้น จึงทำเป็นเพียงพระพุทธรูปแบบมียอดแหลมตรงเศียรเพียงเล็กน้อย
            
            ผู้เขียนค่อนข้างคล้อยตามข้อวิเคราะห์นี้ เพราะการปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พุทธศาสนิกชนผู้มีศรัทธาแก่กล้าจะพึงหวัง และสอดคล้องกับพระนามของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ หลังสวรรคต พระนามว่า มหาบรมเสาคต แปลว่า ผู้เป็นไปตามพระสุคต
            
พระสุคตวิมาย ประดิษฐานในครรภคฤหะของปราสาทหินพิมาย จ.นครราชสีมา

๔)   พระรูปเหมือนพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗  

             พระองค์น่าจะเป็นกษัตริย์เขมรพระองค์แรกที่ทรงปั้นพระรูปเหมือน พบอยู่หลายที่ พระรูปแสดงอิริยาบถทรงพนมมือ หลุบตาลงต่ำเหมือนหลับตาพริ้ม และพระโอษฐ์แย้มน้อยๆ เช่นเดียวกับพระพุทธรูปทั้งหลายที่ทรงสร้าง  อันเป็นลักษณะเฉพาะของประติมากรรมในยุคของพระองค์ ทำให้นักประวัติศาสตร์ศิลปะ ตั้งชื่อประติกรรมแบบนี้ว่า ศิลปะแบบบายน
ที่ปราสาทหินพิมาย มีพระรูปเหมือนหนึ่งองค์ประดิษฐานอยู่ที่ปรางค์พรหมทัต ประทับนั่งพนมหัตถ์ หันพระพักตร์ไปทางครรภคฤหะที่ประดิษฐานพระชัยพุทธมหานาถ เสมือนว่าพระองค์ทรงสักการะพระพุทธเจ้า


ภาพจาก posttoday.com
                
รูปปั้นพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ พบอยู่หลายที่ ทั้งหมดแต่เดิมนั้นพระกรหายไป ทำให้ไม่ทราบว่าทรงมีอิริยาบถอย่างไร ล่าสุด Apsara Authority ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านโบราณคดีของกัมพูชาและนักโบราณคดีฝรั่งเศส ได้ค้นพบแขนและส่วนมือในท่าพนมมือไหว้ของประติมากรรมปริศนา จึงนำมาต่อเข้ากับรูปของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ปรากฏว่าต่อเข้ากันได้ แม้จะมีชิ้นส่วนแตกหักไปบ้างก็ตาม

๕)   ธรรมศาลาและอโรคยศาลา

            พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ มิได้ทรงมุ่งขยายอาณาจักรด้วยการสงครามเท่านั้น แต่ทรงให้ความสำคัญกับการทำนุบำรุงบ้านเมืองให้รุ่งเรือง โดยการบำรุงพระศาสนา ส่งเสริมการค้า และดูแลการสาธารณสุข

            ในสมัยของพระองค์ทรงสร้างสิ่งต่างๆ มากมาย แต่ที่ได้รับการกล่าวขานถึงอย่างมากนโยบายหนึ่ง คือ การสร้าง "วหนิคฤหะ" ที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ ธรรมศาลา หรือบ้านมีไฟ ซึ่งเป็นที่พักคนเดินทาง และทุกที่ก็จะมี "อโรคยศาลา" หรือสถานพยาบาล อยู่ควบคู่กัน ทรงสร้างไว้ถึง ๑๒๑ แห่ง ตามถนนหนทางจากทุกทิศที่มุ่งสู่เมืองพระนคร ส่วนเส้นทางจากเมืองพระนครมาถึงวิมายปุระ หรือเมืองพิมาย อันเป็นขอบเขตของราชวงศ์มหิธรปุระของพระองค์ มีอยู่ ๑๗ แห่ง
            ศ.ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงสันนิษฐานว่า บ้านมีไฟคงสร้างด้วยไม้ แต่มีตัวปราสาทซึ่งเป็นศาสนสถานประจำสร้างด้วยศิลาแลง ภายในประดิษฐานรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร บ้างก็มีพระพุทธรูปปางสมาชิประดิษฐานอยู่ในซุ้มรอบๆ
            ปัจจุบันยังมีบ้านทีไฟหลงเหลือให้เห็นอยู่ได้บางที่ เช่น กลุ่มปราสาทตาเมือน จังหวัดสุรินทร์ ปราสาทบ้านบุ จังหวัดบุรีรัมย์ ปราสาทห้วยแคน จังหวัดนครราชสีมา เป็นต้น



ปราสาทตาเมือน ศาสนสถานประจำที่พักคนเดินทางและอโรคยศาลา


!! หลังพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ สวรรคต

            หลังจากพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ สวรรคตแล้ว จะมีพระโอรสองค์ใดขึ้นครองต่อบ้าง ยังไม่พบหลักฐานแน่ชัด แต่ได้พบพระนามของ พระเจ้าอินทรวรมันที่ ๒ ที่เป็นพระราชโอรสองค์หนึ่งขึ้นครองบัลลังก์ อยู่จนถึง พ.ศ.๑๗๘๖ หลังจากนั้น ก็พบพระนามของ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๘ (พ.ศ.๑๗๘๖ - ๑๘๓๘) ซึ่งตรงกับสมัยพ่อขุนรามคำแหง และเป็นครั้งแรกที่เขมรได้ทำศึกกับกองทัพไทย 
            พระเจ้าชัยวรมันที่ ๘ นี้ ไม่มีหลักฐานว่า พระองค์สืบสายมาทางใด แต่สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำคือ ทำลายประติมากรรมและภาพสลักต่างๆ ในทางพุทธศาสนาที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงสร้างไว้
พระชัยพุทธมหานาถ พระประธานปางนาคปรกองค์ใหญ่ ในปราสาทบายน ถูกทำลายและนำไปทิ้งไว้ในท่อระบายน้ำใต้ปราสาท เสมือนเป็นการขจัดผู้ปกป้องอาณาจักรแห่งพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เพื่อทำให้ความศักดิ์สิทธิ์และความหมายของผู้ชนะเหนือทุกสิ่ง ต้องมลาสไป
รูปพระโพธิสัตว์ทั้งหลายถูกทำลายด้วยการขูดพระพักตร์บ้าง เติมแต่งใหม่ให้กลายเป็นเทวรูปแบบฮินดูบ้าง ทำการสลักภาพและเรื่องราวของเทพฮินดูไว้บนกำแพงปราสาทบายน ขูดลบภาพสลักเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าในปราสาทต่างๆ แล้วแกะสลักทับลงไปใหม่ให้เป็นเรื่องราวของฮินดูบ้าง ฤาษีบ้าง  เรียกว่า พระพุทธรูปและพระโพธิสัตว์ทั้งอาณาจักรถูกทำลายลง 

เหตุใดพระเจ้าชัยวรมันที่ ๘ จึงทรงทำเยี่ยงนั้น

สาเหตุเพราะนับถือศาสนาต่างกัน แค่นั้นหรือ
จริงอยู่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๘ ทรงนับถือฮินดู ไศวนิกาย แต่ที่ผ่านมากษัตริย์เขมรแทบทุกพระองค์ นับถือพราหมณ์-ฮินดู แต่ก็ยังให้การอุปถัมภ์และไม่เคยรังเกียจหรือทำลายพุทธศาสนาเลยแม้แต่น้อย ดังนั้น หากมองลึกๆ แล้ว ผู้เขียนเชื่อว่าเป็นเกมการเมือง ที่ต้องการล้มล้างพระราชอำนาจเดิมและลบทิ้งซึ่งหลักฐานความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
แม้แต่พระนาม ก็ทรงใช้ “ขัยวรมัน” เช่นกัน  เป็นการแสดงชัดว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ ๘ ต้องการยิ่งใหญ่เทียมเท่าหรือเหนือกว่า แต่ด้วยวิธีที่มืดบอด 
นอกจากพระองค์ จะไม่สามารถลบล้างพระเกียรติยศของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ได้แล้ว ยังทำให้อาณาจักรเขมรนับแต่นั้นเสื่อมถอยลงอย่างมิอาจฟื้นคืนได้ 
ในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๘ อาณาจักรเขมรเริ่มแตกออกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย ปลายรัชสมัยทรงสละราชสมบัติให้แก่พระราชบุตรเขย จากนั้นอาณาจักรเขมรก็ประสบกับความลุ่มๆ ดอนๆ โดยตลอด สงครามกับจามจางคลาย แต่กลับมามีสงครามกับกองทัพไทยแทน จนถึงสมัยเจ้าสามพระยา พ.ศ. ๑๙๗๔ ได้เข้ายึดเมืองพระนครสำเร็จ นับจากนั้นกษัตริย์เขมรก็ละทิ้งเมืองพระนคร ความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรเขมรจึงเหลือเพียงประวัติศาสตร์บนซากประหลักหักพังอย่างที่เห็นในปัจจุบัน 

ไม่แน่ว่า หากเคล็ดวิชาที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงใช้สร้างอาณาจักร ยังคงอยู่ ทั้งราชวงศ์และอาณาจักรเขมรอาจจะยังคงภาคภูมิและเกรียงไกรอยู่จนถึงทุกวันนี้ ในขณะเดียวกันแม้อาณาจักรจะล่มสลาย แต่พระเกียรติภูมิของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ในฐานะมหาราชและกษัตริย์ผู้ทรงธรรม ยังคงอยู่มานับพันปี และจะยังคงอยู่ต่อไปตราบสิ้นโลก สมกับที่พระองค์ทรงสร้างสระอโนดาต ไว้ในพระราชอาณาจักรของพระองค์

แนะนำหนังสืออ่านเพิ่มเติม : ประวัติเมืองพระนครของขอม ศ.มาดแลน จิโต เขียน, ศ.มจ.สุภัทรดิศ ดิศกุล แปล

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สุริยวรรมัน : เรื่องจริงเป็นอย่างไร

ถอดความนัยจากนิยายสู่ประวัติศาสตร์ "สุริยวรรมัน"

พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ : เคล็ดวิชาสร้างอาณาจักรเขมร (๑)

มหิธรปุระ

อินเดียที่หนึ่งในดวงใจ